เมนู

การสำรอกโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
ฯลฯ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.
ฉ. ดูก่อนท่านอานนท์ ท่านเหล่าใดมีการกล่าวสอนอย่างนี้
ท่านเหล่านั้นเป็นผู้อนุเคราะห์ มุ่งประโยชน์ กล่าวสอนและพร่ำสอน
เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ก็แลผมเองได้ฟังธรรมเทศนานี้ ของ
ท่านอานนท์แล้ว เข้าใจธรรมได้อย่างแจ่มแจ้ง.
จบ ฉันนสูตรที่ 8

อรรถกถาฉันนสูตรที่ 8



พึงทราบวินิจฉัยในฉันนสูตรที่ 8 ดังต่อไปนี้ :-

พระฉันนเถระ


บทว่า อายสฺมา ฉนฺโน ได้แก่ พระฉันนเถระ เกิดในวันเดียว
กับพระตถาคตเจ้า ในวันที่พระตถาคตเจ้าเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์
ก็โดยเสด็จออกไปด้วย ครั้นเวลาต่อมา ได้บรรพชาในสำนักพระศาสดา
แล้ว กลับมีปกติลบหลู่ตีเสมอ อย่างนี้ว่า พระพุทธเจ้าของเรา พระธรรม
ของเรา กระทบกระทั่งเพื่อนสพรหมจารีด้วยวาจาหยาบคาย.
บทว่า อปาปุรณํ1 อาทาย คือ ถือเอาลูกกุญแจ.
1. พ. อวาปุรณํ.

บทว่า วิหาเรน วิหารํ อุปสงฺกมิตฺวา ความว่า (พระฉันนะ)
เข้าไปสู่วิหารหลังหนึ่ง ออกจากวิหารหลังนั้นแล้วก็เข้าไปสู่วิหารหลังอื่น
แอกจากวิหารหลังอื่นนั่นแล้ว ก็เข้าไปสู่วิหารหลังอื่น (ต่อไปอีก)
รวมความว่า ออกจากวิหารหลังนั้น ๆ เข้าไปยังวิหารหลังนั้น อย่างนี้.
บทว่า เอตทโวจ โอวทนฺตุ มํ1 ความว่า ถามว่า เพราะเหตุไร
ท่านจึงไปในวิหารนั้น ๆ ด้วยความอุตสาหะมากถึงอย่างนี้แล้วได้
กล่าวคำนี้ ?

ตอบว่า เพราะท่านเกิดความสังเวช.
เป็นความจริง เมื่อพระศาสดาเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว
ท่านพระอานนท์ได้รับมอบหมายจากพระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลาย
จึงได้ไปยังเมืองโกสัมพีแล้วได้ลงพรหมทัณฑ์แก่พระฉันนะนั้น.
เมื่อ (พระฉันนะ) ถูกลงพรหมทัณฑ์แล้ว ท่านก็เกิดความ
เร่าร้อนจนสลบล้มลง ครั้นรู้สึกตัวขึ้นมาอีกจึงลุกขึ้นไปยังสำนักภิกษุ
รูปหนึ่ง ภิกษุรูปนั้นก็ไม่ยอมพูดจาอะไรกับท่าน. ท่านได้ไปยังสำนัก
ภิกษุรูปอื่น แม้ภิกษุรูปนั้นก็มิได้พูด (อะไรกับท่าน) รวมความว่า
ท่านท่องเที่ยวไปจนทั่ววัดอย่างนี้ แล้วก็เกิดเบื่อหน่ายจึงถือบาตรและ
จีวรไปยังเมืองพาราณสี เกิดความสังเวชจึงไปในวิหารหลังนั้น ๆ
แล้วได้กล่าวอย่างนี้.
บทว่า สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา ความว่า สังขารที่เป็นไปใน
ภูมิ 3 ทั้งหมดไม่เที่ยง.
1. ปาฐะว่า เอตทโวจ โอวทนฺตุ มํ. ฉบับพม่าเป็นบทตั้ง แปลตามฉบับพม่า.

บทว่า สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา ความว่า ธรรมทั้งหลายที่เป็นไป
ในภูมิ 4 ทั้งหมด เป็นอนัตตา.
ภิกษุเหล่านั้น ทั้งหมด เมื่อจะโอวาทพระเถระ จึงบอกลักษณะ 2
คือ อนิจจลักษณะ อนัตตลักษณะ แต่ไม่บอกถึงทุกขลักษณะ ด้วย
ประการดังพรรณนามาฉะนี้.
ถามว่า เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า ได้ยินว่า ภิกษุเหล่านั้นได้มีความคิดอย่างนี้ว่า ถ้าว่า
เมื่อเราทั้งหลายบัญญัติ ทุกขลักษณะ ภิกษุนี้ (ฉันนะภิกษุ) จะพึง
ถือฟั่นเฝือไปว่า รูปเป็นทุกข์ ฯลฯ วิญญาณเป็นทุกข์ มรรค1 เป็นทุกข์
ผลเป็นทุกข์ ดังนั้นท่านทั้งหลายชื่อว่าเป็นภิกษุผู้ตกทุกข์ด้วย เรา
ทั้งหลายจักบอกไม่ให้เป็นโทษแก่เธอ โดยประการที่เธอไม่สามารถ
จะยึดถือ ฟั่นเฝือได้ ภิกษุเหล่านั้น จึงได้บอกสองลักษณะเท่านั้น.
บทว่า ปริตฺตสฺสนาอุปาทานํ อุปฺปชฺชติ ความว่า ความสะดุ้ง
และอุปาทานเกิดขึ้น.
บทว่า ปจฺจุทาวตฺตติ มานสํ อถ โก จรหิ เม อตฺตา ความว่า
ใจของผม หมุนกลับอย่างนี้ว่า ถ้าว่า ในขันธ์ 5 มีรูปเป็นต้น ไม่มีแม้
ขันธ์เดียวที่เป็นอัตตาไซร้ ก็แล้วอะไรเล่า เป็นอัตตาของเรา.
ได้ยินว่า. พระเถระนี้เริ่มเจริญวิปัสสนาโดยไม่กำหนดปัจจัยเลย.
วิปัสสนาที่หย่อนกำลังของท่านนั้นจึงไม่สามารถกำจัดการยึดถือ
อัตตาได้ ครั้นเมื่อสังขารทั้งหลายปรากฏโดยความเป็นของว่างเปล่า
1. ปาฐะว่า ปตฺโต ฉบับพม่าเป็น มคฺโค แปลตามฉบับพม่า

จึงกลับเป็นปัจจัย (ให้เกิด) อุจเฉททิฏฐิและความสะดุ้งว่า เราจักขาดสูญ
เราจักพินาศ.
และท่านก็เห็นอัตตาเหมือนตกลงไปในเหว จึงกล่าวว่า ความ
สะดุ้งและอุปาทานเกิดขึ้น ใจของผมจึงหมุนกลับอย่างนี้ว่า ก็แล้ว
อะไรเล่าเป็นอัตตาของเรา ?
บทว่า น โข ปเนตํ ธมฺมํ ปสฺสโต โหติ ความว่า ความคิด
อย่างนี้ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้เห็นธรรมคือ สัจจะ 4.
บทว่า ตาวติกา วิสฺสฏฺฐิ แปลว่า ความคุ้นเคยเช่นนั้น.
บทว่า สมฺมุขา เมตํ ความว่า พระเถระฟังคำของ
พระฉันนะนั้นแล้วจึงคิดว่า ธรรมเทศนาเช่นไรหนอแลจึงเหมาะแก่
ภิกษุนี้ เลือกเฟ้นพระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎก ก็ได้เห็นกัจจายนสูตร
ว่า พระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอนแรกเป็นการคลายทิฏฐิ
ตอนกลางเป็นการแสดงกำลังของพระพุทธเจ้า (ทสพลญาณ)
(ตอนท้าย) เป็นการประกาศปัจจยาการที่ละเอียดสุขุม เราจักแสดง
สูตรนี้แก่เธอ.
พระอานนทเถระ เมื่อจะแสดงสูตรนั้น จึงกล่าวคำว่า สมฺมุขา
เมตํ
เป็นต้น.
จบ อรรถกถาฉันนสูตรที่ 8

9. ราหุลสูตรที่ 1



ว่าด้วยการไม่มีอหังการมมังการและมานานุสัย



[235 ] กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้นแล ท่านพระราหุลเข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง